Wednesday, 16 October 2024

สิ่งที่เป็นตามกระแส ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป

 


โลกแต่ละยุคสมัยก็มีความเด่นต่างกัน เช่น ยุคกลางเน้นศาสนา ยุคโรแมนติกเน้นธรรมชาติ ส่วนโลกยุค post-modernism หรือยุคสมัยของเรามีสิ่งหนึ่งที่โดดเด่น คือการเน้นเสรีภาพ เน้นความหลากหลาย ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีข้อดีของมัน  แต่ก็มีข้อเสียด้วยเช่นกัน เพราะถ้าหากว่ามันสุดโต่งเกินไปมันจะกลายเป็นว่า ทุกอย่างเป็นสิทธิส่วนบุคคล ไม่มีคำว่าถูกคำว่าผิด หรือพูดง่ายๆว่าใครจะทำอะไรก็ทำ ดูเหมือนว่าอะไรก็ตามในสังคมทุกวันนี้ ถ้าทำให้มันไวรัลได้ ถ้าทำให้มันเป็นกระแสได้ ทุกคนแห่ทำตามกันได้ ก็จะถือว่าถูกต้องไปเลย โดยไม่ได้พิจารณาจริงๆด้วยซ้ำว่าสิ่งนั้นมันดีจริงไหม

เมื่อสมัยเป็นวัยรุ่น การยอมรับจากคนอื่นดูจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง  ทุกวันนี้พออายุมากแล้วก็เริ่มรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำหรือไม่ทำอะไรตามกระแสสังคมส่วนใหญ่อีกต่อไป แต่ก่อนหนังอะไรที่นักวิจารณ์บอกว่าดี ได้รับรางวัลระดับโลก หรือเป็นหนังทำเงินเป็นล้านๆ เราก็รีบเชื่อตามว่ามันดีแน่นอน รีบไปหามาดู รีบมโนตามไปว่ามันดีมาก แต่ทุกวันนี้ ดูหนังด้วยวิจารณญาณของตนเองล้วนๆ ถ้ามโนธรรมของเราบอกว่ามันชั่วร้ายมาก หยุดดูได้แล้ว เราก็จะหยุด ต่อให้หนังนั้นจะได้รับคำชมหรือได้รางวัลเลิศหรูเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าหนังเรื่องหนึ่งดูแล้วมันรู้สึกได้ว่าจรรโลงจิตใจ เราก็ดูจนจบแล้วเขียนชม ต่อให้เป็นหนังที่ไม่มีใครสนใจก็ตาม (เราไม่ได้ต้านกระแสตลอดเวลา ถ้าหนังดังหนังรางวัล แล้วมันรู้สึกว่าดีจริงเราก็ว่าดี)

สิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้คือสิ่งที่ฉันพอใจและเต็มใจจะยืนหยัดในมุมมองที่ฉันเห็นว่ามันคือความถูกต้อง  เพราะมีเหตุผล มีหลักฐาน มีสิ่งที่ทำให้เรามองเห็นว่าอะไรถูกอะไรผิด แม้ว่ามุมมองนั้นอาจจะไม่ตรงกับคนส่วนใหญ่ บทความนี้ไม่ได้เขียนเพื่อเรียกร้องให้คนอื่นต้องมาเห็นด้วย แค่อยากแบ่งปันจุดยืนกับมุมมองเช่นนี้เท่านั้น

·      ประชาธิปไตยมีข้อดีและข้อเสียเช่นเดียวกับระบบการปกครองอื่น ๆ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเทิดทูนบูชามากมายราวกับว่ามันคือสิ่งชี้ขาดเพียงสิ่งเดียวในโลก  ถ้าคุณถามคนฝรั่งเศสว่าเขาภูมิใจมากไหมกับการปฏิวัติฝรั่งเศส คำตอบคือ ก็ไม่ได้ขนาดนั้น เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาก็เยอะอยู่ (มีคนถามแล้วจริงๆ แล้วคำตอบก็เป็นแบบนั้นจริงๆ) มันก็ใช่ที่ว่าประชาธิปไตยให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมกัน ทุกคนมีสิทธิ์ออกเสียงเลือก อำนาจไม่ได้รวมอยู่ที่คนคนเดียวหรือสองสามคน  แต่ลองคิดให้ดี ข้อเสียของประชาธิปไตยก็มีอยู่นะ มองอีกมุมหนึ่งก็คือ “พวกมากลากไป” จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากคนส่วนใหญ่ศีลธรรมเสื่อม เห็นแก่ตัว  (อันนี้แค่สมมุตินะ) พวกเขาก็ย่อมเลือกคนที่ตนต้องการขึ้นมาปกครองเพื่อจะได้อำนวยความสะดวกให้ผลประโยชน์ของตนเอง ออกกฎหมายในแบบที่ตนต้องการ หรือปัญหาอีกแบบหนึ่ง คนส่วนใหญ่อาจมีความเห็นเป็นกลาง แต่บังเอิญมีผู้รับสมัครเลือกตั้งบางกลุ่มรู้วิธีที่จะทำการตลาดขายตนเองและพรรคอย่างแยบยล สามารถทำให้คนอื่นเชื่อว่าตนเก่งกาจดีงามทั้งที่ความจริงนั้นไม่ใช่  (อันนี้ก็สมมุตินะ) สุดท้ายแล้วอำนาจก็ตกอยู่ในมือคนชั่วอยู่ดีจริงไหม ต่อให้เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่เผด็จการ แต่สิ่งตัดสินที่แท้จริงคือความดีงามที่อยู่ในตัวคน ไม่ใช่ระบบ เพราะจะเป็นระบอบการปกครองแบบใด ถ้าคนจะเลวก็เอามาใช้โกงได้หมดล่ะ ในทางตรงข้าม สมมุติว่าประเทศหนึ่งมีผู้ปกครองอำนาจสูงสุดเพียงคนเดียว แต่คนคนนั้นดีงาม มีความสามารถมากๆ เห็นแก่ส่วนรวมและประเทศชาติและอุทิศตนให้กับประชาชน  ประเทศชาติก็อยู่เย็นเป็นสุขและเจริญได้เหมือนกัน (ลองดูสิงคโปร์กับลีกวนยู)  เราไม่ได้สนับสนุนระบอบเผด็จการหรือสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่ได้คิดว่ามันจะเหมาะกับยุคปัจจุบันนัก แต่ที่ต้องการจะบอกก็คือถ้าคนดี ปกครองแบบไหนก็ดีได้ ถ้าคนเลว ปกครองแบบไหนก็เลวได้  ประชาธิปไตยไม่อาจแก้ปัญหาได้ทุกสิ่ง เราต้องอยู่กับมันโดยที่มองเห็นด้านมืดของมันด้วยเช่นกัน ไม่ใช่มองว่ามันเพอร์เฟ็กต์

·      วิทยาศาสตร์ไม่ใช่สิ่งที่เชื่อถือได้เสมอไป  และมีด้านมืดของมันอยู่มากด้วยเช่นกัน และผลงานวิชาการก็เช่นกัน ใช่ว่าจะเชื่อถือได้หมด คนจำนวนมากมองว่าถ้าสิ่งหนึ่ง “มีงานวิจัยสนับสนุน” แล้ว  ก็เท่ากับเชื่อถือได้ ถ้าสิ่งไหน “ยังไม่มีการวิจัยยืนยัน” ก็เท่ากับเชื่อถือไม่ได้ แต่ความจริงมันไม่เป็นแบบนั้นเสมอไป นักวิทยาศาสตร์ก็คน นักวิจัยก็คน มันมีทั้งที่ซื่อตรงและไม่ซื่อตรง มีงานวิจัยจำนวนไม่น้อยในโลกนี้ถูกผลิตขึ้นเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือหรือให้ผลประโยชน์กับบางคนหรือบางกลุ่มที่แอบสนับสนุนเงินทุนอยู่เบื้องหลัง นักวิจัยที่รับเงินเหล่านี้จำนวนหนึ่งก็ยินดีจะนำเสนอผลการวิจัยออกมาให้เป็นไปตามที่สปอนเซอร์ของตนต้องการ หนังสือเล่มที่ฉันเพิ่งแปลจบไปให้หลักฐานเรื่องนี้ไว้เยอะเลย  และมันก็ไม่ใช่แหล่งข้อมูลเดียว นอกจากนี้ ยังมีนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งที่ทะเยอทะยานจนถึงระดับสุดโต่ง และคิดค้นบางสิ่งขึ้นมาเพียงเพื่อสนองความรู้สึกอยากรู้หรือความรู้สึกว่าตนเองเก่ง  คิดว่าวิทยาศาสตร์นี่ล่ะจะทำให้ตนเป็นที่สุดของโลก แล้วยอมทำทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการผลาญเงินจำนวนมาก การทารุณกรรมสัตว์อย่างรุนแรง  หรือแม้กระทั่งแอบทดลองยาหรือเทคโนโลยีอันตรายบางอย่างกับมนุษย์จนถึงขั้นเสียชีวิตหรือพิการหรือเป็นบ้า  นักวิทยาศาสตร์เช่นนี้เคยมีมาแล้วในช่วงสงครามโลก  มีหลักฐานและเอกสารข่าวที่รายงานถึงสิ่งชั่วร้ายที่พวกเขาทำลงไปกับมนุษย์ คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้ แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีนักวิทยาศาสตร์เช่นนี้อยู่บนโลก แค่วิธีการทดลองกับคนนั้นแยบยลกว่าเดิม ทำให้เอาผิดกับพวกเขาไม่ได้  แต่อย่าเข้าใจผิดนะ นักวิทยาศาสตร์ที่ดีและนักวิจัยที่ดีก็มีอยู่บนโลกเยอะแยะเช่นกัน พวกเขาเป็นประโยชน์กับโลกนี้มาก จุดยืนของฉันก็คือ วงการเหล่านี้ก็มีด้านดีและด้านมืด ไม่คิดจะตามกระแสโลกปัจจุบันที่ดูจะเทิดทูนวิทยาศาสตร์และการทำวิจัยจนมากเกิน  ไม่มองว่ามันเชื่อถือได้ไปหมดทุกอย่าง ไม่ว่างานวิจัยนั้นจะออกมาจากองค์กรที่มีชื่อเสียงหรือตีพิมพ์ในวารสารชั้นเลิศแค่ไหนก็ตาม ความโปร่งใสไร้อิทธิพลเบื้องหลังต่างหากที่สำคัญ

จากประสบการณ์ส่วนตัว  ขอบอกไว้อย่างหนึ่งว่า ยาด้านจิตเวชจำนวนหนึ่งมีผลข้างเคียงที่รุนแรงและอันตรายยาวเหยียดอย่างสุดๆ (อ่านแล้วนึกว่ายาพิษ) ผลด้านการทำลายสุขภาพของมันมีมากกว่าผลดีที่จะได้รับในการรักษาด้วยซ้ำ  ข้อมูลนี้มันไม่ได้ปิดบังเลยด้วย มัน list ออกมาให้เห็นๆอยู่ในฉลากนั่นล่ะ แต่คำถามคือทำไมวงการแพทย์และเภสัชถึงยังคงยอมรับให้มีการแจกยาชนิดนี้รักษาผู้ป่วยอยู่อีก  ฉันเป็นคนหนึ่งที่ไม่เชื่อการรักษาด้วยยาประเภทนี้ และไม่เชื่อด้วยว่าการรักษามีแค่การใช้ยาเท่านั้น  และไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้ป่วยในของโรงพยาบาลบางแห่งถึงดูไม่มีวี่แววจะหายเป็นปกติได้ (เรื่องนี้เราเป็นพยานได้ แต่อันนี้ต้องหลังไมค์เท่านั้น)

อีกอย่างหนึ่งที่เราต้านกระแสและยืนกรานที่จะอยู่ตรงจุดนั้นก็คือ เราไม่ฉีดวัคซีนโควิดเพราะมันไม่ใช่สิ่งจำเป็นและเสี่ยงต่อสุขภาพ  เราและวงการของคนที่รับรู้ความจริงเรื่องนี้ (ซึ่งมีทั้งแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์  ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ผู้ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพระดับอาวุโส ผู้บริหารโรคระบาดระดับโลก และบุคคลน่าเชื่อถืออื่นๆอีกมากมายทั่วโลกที่ยินดีให้ชื่อและตำแหน่งของตนเองยืนยันเช่นนั้น เพียงแต่ตอนที่กระแสความกลัวมันถูกปั่นให้เกิดขึ้น พวกเขาเป็นคนจำนวนน้อยกว่าและถูกอิทธิพลตัดออกจากสื่อกระแสหลัก)  ดีใจมากที่ประเทศไทยทุกวันนี้มีคุณหมอสามารถออกมาพูดในสื่อกระแสหลักแล้วว่าวัคซีนเหล่านี้อันตรายเพียงใด ช่วงที่กระแสความกลัวโรคนี้ถูกปั่นให้เกิดขึ้น  เราเป็นคนส่วนน้อยมากที่ไม่ฉีดเลยสักเข็มและไม่เสียใจเลยที่ตัดสินใจเช่นนั้น  เรายืนกรานที่จะอยู่ตรงจุดนั้นจริงๆ เพราะหลักฐานที่มีอยู่มากพอที่จะทำ presentation ได้เลยด้วยซ้ำ  เช่นเดียวกับพวกงานวิจัยเทียมๆที่สร้างขึ้นเพราะอิทธิพลเงินของคนบางกลุ่ม วัคซีนเหล่านี้มีผู้อยู่เบื้องหลัง  และสังเกตว่าทุกคนที่ฉีดต้องเซ็นชื่อยืนยันว่าจะไม่เอาผิดกับผู้ผลิตวัคซีนหากผลร้ายเกิดขึ้นกับร่างกายของผู้ฉีด

โลกยุค post-modernism มีอิสระเสรี มีความหลากหลาย และการยอมรับความแตกต่างของผู้คน  ซึ่งสิ่งเหล่านี้แน่นนอนว่ามีข้อดีเยอะมาก สร้างความก้าวหน้าและความสุขให้โลกได้จริง  แต่....ถ้าถึงกับสุดโต่งว่าไม่มีสิ่งไหนถูกสิ่งไหนสิ่งผิดเลย เราก็ไม่เอาด้วยนะ

No comments:

Post a Comment