โลกแต่ละยุคสมัยก็มีความเด่นต่างกัน เช่น ยุคกลางเน้นศาสนา
ยุคโรแมนติกเน้นธรรมชาติ ส่วนโลกยุค post-modernism
หรือยุคสมัยของเรามีสิ่งหนึ่งที่โดดเด่น คือการเน้นเสรีภาพ
เน้นความหลากหลาย ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีข้อดีของมัน
แต่ก็มีข้อเสียด้วยเช่นกัน เพราะถ้าหากว่ามันสุดโต่งเกินไปมันจะกลายเป็นว่า
ทุกอย่างเป็นสิทธิส่วนบุคคล ไม่มีคำว่าถูกคำว่าผิด หรือพูดง่ายๆว่าใครจะทำอะไรก็ทำ
ดูเหมือนว่าอะไรก็ตามในสังคมทุกวันนี้ ถ้าทำให้มันไวรัลได้
ถ้าทำให้มันเป็นกระแสได้ ทุกคนแห่ทำตามกันได้ ก็จะถือว่าถูกต้องไปเลย
โดยไม่ได้พิจารณาจริงๆด้วยซ้ำว่าสิ่งนั้นมันดีจริงไหม
เมื่อสมัยเป็นวัยรุ่น
การยอมรับจากคนอื่นดูจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง
ทุกวันนี้พออายุมากแล้วก็เริ่มรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำหรือไม่ทำอะไรตามกระแสสังคมส่วนใหญ่อีกต่อไป
แต่ก่อนหนังอะไรที่นักวิจารณ์บอกว่าดี ได้รับรางวัลระดับโลก หรือเป็นหนังทำเงินเป็นล้านๆ
เราก็รีบเชื่อตามว่ามันดีแน่นอน รีบไปหามาดู รีบมโนตามไปว่ามันดีมาก แต่ทุกวันนี้
ดูหนังด้วยวิจารณญาณของตนเองล้วนๆ ถ้ามโนธรรมของเราบอกว่ามันชั่วร้ายมาก
หยุดดูได้แล้ว เราก็จะหยุด
ต่อให้หนังนั้นจะได้รับคำชมหรือได้รางวัลเลิศหรูเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าหนังเรื่องหนึ่งดูแล้วมันรู้สึกได้ว่าจรรโลงจิตใจ
เราก็ดูจนจบแล้วเขียนชม ต่อให้เป็นหนังที่ไม่มีใครสนใจก็ตาม (เราไม่ได้ต้านกระแสตลอดเวลา
ถ้าหนังดังหนังรางวัล แล้วมันรู้สึกว่าดีจริงเราก็ว่าดี)
สิ่งต่าง ๆ
ต่อไปนี้คือสิ่งที่ฉันพอใจและเต็มใจจะยืนหยัดในมุมมองที่ฉันเห็นว่ามันคือความถูกต้อง เพราะมีเหตุผล มีหลักฐาน
มีสิ่งที่ทำให้เรามองเห็นว่าอะไรถูกอะไรผิด แม้ว่ามุมมองนั้นอาจจะไม่ตรงกับคนส่วนใหญ่
บทความนี้ไม่ได้เขียนเพื่อเรียกร้องให้คนอื่นต้องมาเห็นด้วย แค่อยากแบ่งปันจุดยืนกับมุมมองเช่นนี้เท่านั้น
·
ประชาธิปไตยมีข้อดีและข้อเสียเช่นเดียวกับระบบการปกครองอื่น
ๆ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเทิดทูนบูชามากมายราวกับว่ามันคือสิ่งชี้ขาดเพียงสิ่งเดียวในโลก ถ้าคุณถามคนฝรั่งเศสว่าเขาภูมิใจมากไหมกับการปฏิวัติฝรั่งเศส
คำตอบคือ ก็ไม่ได้ขนาดนั้น เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาก็เยอะอยู่
(มีคนถามแล้วจริงๆ แล้วคำตอบก็เป็นแบบนั้นจริงๆ)
มันก็ใช่ที่ว่าประชาธิปไตยให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมกัน
ทุกคนมีสิทธิ์ออกเสียงเลือก อำนาจไม่ได้รวมอยู่ที่คนคนเดียวหรือสองสามคน แต่ลองคิดให้ดี
ข้อเสียของประชาธิปไตยก็มีอยู่นะ มองอีกมุมหนึ่งก็คือ “พวกมากลากไป”
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากคนส่วนใหญ่ศีลธรรมเสื่อม เห็นแก่ตัว (อันนี้แค่สมมุตินะ)
พวกเขาก็ย่อมเลือกคนที่ตนต้องการขึ้นมาปกครองเพื่อจะได้อำนวยความสะดวกให้ผลประโยชน์ของตนเอง
ออกกฎหมายในแบบที่ตนต้องการ หรือปัญหาอีกแบบหนึ่ง คนส่วนใหญ่อาจมีความเห็นเป็นกลาง
แต่บังเอิญมีผู้รับสมัครเลือกตั้งบางกลุ่มรู้วิธีที่จะทำการตลาดขายตนเองและพรรคอย่างแยบยล
สามารถทำให้คนอื่นเชื่อว่าตนเก่งกาจดีงามทั้งที่ความจริงนั้นไม่ใช่ (อันนี้ก็สมมุตินะ)
สุดท้ายแล้วอำนาจก็ตกอยู่ในมือคนชั่วอยู่ดีจริงไหม ต่อให้เป็นประชาธิปไตย
ไม่ใช่เผด็จการ แต่สิ่งตัดสินที่แท้จริงคือความดีงามที่อยู่ในตัวคน ไม่ใช่ระบบ
เพราะจะเป็นระบอบการปกครองแบบใด ถ้าคนจะเลวก็เอามาใช้โกงได้หมดล่ะ ในทางตรงข้าม
สมมุติว่าประเทศหนึ่งมีผู้ปกครองอำนาจสูงสุดเพียงคนเดียว แต่คนคนนั้นดีงาม
มีความสามารถมากๆ เห็นแก่ส่วนรวมและประเทศชาติและอุทิศตนให้กับประชาชน
ประเทศชาติก็อยู่เย็นเป็นสุขและเจริญได้เหมือนกัน (ลองดูสิงคโปร์กับลีกวนยู)
เราไม่ได้สนับสนุนระบอบเผด็จการหรือสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ไม่ได้คิดว่ามันจะเหมาะกับยุคปัจจุบันนัก แต่ที่ต้องการจะบอกก็คือถ้าคนดี
ปกครองแบบไหนก็ดีได้ ถ้าคนเลว ปกครองแบบไหนก็เลวได้ ประชาธิปไตยไม่อาจแก้ปัญหาได้ทุกสิ่ง เราต้องอยู่กับมันโดยที่มองเห็นด้านมืดของมันด้วยเช่นกัน
ไม่ใช่มองว่ามันเพอร์เฟ็กต์
·
วิทยาศาสตร์ไม่ใช่สิ่งที่เชื่อถือได้เสมอไป และมีด้านมืดของมันอยู่มากด้วยเช่นกัน และผลงานวิชาการก็เช่นกัน
ใช่ว่าจะเชื่อถือได้หมด คนจำนวนมากมองว่าถ้าสิ่งหนึ่ง “มีงานวิจัยสนับสนุน”
แล้ว ก็เท่ากับเชื่อถือได้ ถ้าสิ่งไหน
“ยังไม่มีการวิจัยยืนยัน” ก็เท่ากับเชื่อถือไม่ได้ แต่ความจริงมันไม่เป็นแบบนั้นเสมอไป
นักวิทยาศาสตร์ก็คน นักวิจัยก็คน มันมีทั้งที่ซื่อตรงและไม่ซื่อตรง มีงานวิจัยจำนวนไม่น้อยในโลกนี้ถูกผลิตขึ้นเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือหรือให้ผลประโยชน์กับบางคนหรือบางกลุ่มที่แอบสนับสนุนเงินทุนอยู่เบื้องหลัง
นักวิจัยที่รับเงินเหล่านี้จำนวนหนึ่งก็ยินดีจะนำเสนอผลการวิจัยออกมาให้เป็นไปตามที่สปอนเซอร์ของตนต้องการ
หนังสือเล่มที่ฉันเพิ่งแปลจบไปให้หลักฐานเรื่องนี้ไว้เยอะเลย และมันก็ไม่ใช่แหล่งข้อมูลเดียว นอกจากนี้
ยังมีนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งที่ทะเยอทะยานจนถึงระดับสุดโต่ง
และคิดค้นบางสิ่งขึ้นมาเพียงเพื่อสนองความรู้สึกอยากรู้หรือความรู้สึกว่าตนเองเก่ง
คิดว่าวิทยาศาสตร์นี่ล่ะจะทำให้ตนเป็นที่สุดของโลก
แล้วยอมทำทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการผลาญเงินจำนวนมาก
การทารุณกรรมสัตว์อย่างรุนแรง
หรือแม้กระทั่งแอบทดลองยาหรือเทคโนโลยีอันตรายบางอย่างกับมนุษย์จนถึงขั้นเสียชีวิตหรือพิการหรือเป็นบ้า นักวิทยาศาสตร์เช่นนี้เคยมีมาแล้วในช่วงสงครามโลก มีหลักฐานและเอกสารข่าวที่รายงานถึงสิ่งชั่วร้ายที่พวกเขาทำลงไปกับมนุษย์
คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้ แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีนักวิทยาศาสตร์เช่นนี้อยู่บนโลก
แค่วิธีการทดลองกับคนนั้นแยบยลกว่าเดิม ทำให้เอาผิดกับพวกเขาไม่ได้ แต่อย่าเข้าใจผิดนะ นักวิทยาศาสตร์ที่ดีและนักวิจัยที่ดีก็มีอยู่บนโลกเยอะแยะเช่นกัน
พวกเขาเป็นประโยชน์กับโลกนี้มาก จุดยืนของฉันก็คือ
วงการเหล่านี้ก็มีด้านดีและด้านมืด
ไม่คิดจะตามกระแสโลกปัจจุบันที่ดูจะเทิดทูนวิทยาศาสตร์และการทำวิจัยจนมากเกิน ไม่มองว่ามันเชื่อถือได้ไปหมดทุกอย่าง ไม่ว่างานวิจัยนั้นจะออกมาจากองค์กรที่มีชื่อเสียงหรือตีพิมพ์ในวารสารชั้นเลิศแค่ไหนก็ตาม
ความโปร่งใสไร้อิทธิพลเบื้องหลังต่างหากที่สำคัญ
จากประสบการณ์ส่วนตัว
ขอบอกไว้อย่างหนึ่งว่า
ยาด้านจิตเวชจำนวนหนึ่งมีผลข้างเคียงที่รุนแรงและอันตรายยาวเหยียดอย่างสุดๆ
(อ่านแล้วนึกว่ายาพิษ)
ผลด้านการทำลายสุขภาพของมันมีมากกว่าผลดีที่จะได้รับในการรักษาด้วยซ้ำ ข้อมูลนี้มันไม่ได้ปิดบังเลยด้วย มัน list ออกมาให้เห็นๆอยู่ในฉลากนั่นล่ะ
แต่คำถามคือทำไมวงการแพทย์และเภสัชถึงยังคงยอมรับให้มีการแจกยาชนิดนี้รักษาผู้ป่วยอยู่อีก ฉันเป็นคนหนึ่งที่ไม่เชื่อการรักษาด้วยยาประเภทนี้
และไม่เชื่อด้วยว่าการรักษามีแค่การใช้ยาเท่านั้น
และไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้ป่วยในของโรงพยาบาลบางแห่งถึงดูไม่มีวี่แววจะหายเป็นปกติได้
(เรื่องนี้เราเป็นพยานได้ แต่อันนี้ต้องหลังไมค์เท่านั้น)
อีกอย่างหนึ่งที่เราต้านกระแสและยืนกรานที่จะอยู่ตรงจุดนั้นก็คือ
เราไม่ฉีดวัคซีนโควิดเพราะมันไม่ใช่สิ่งจำเป็นและเสี่ยงต่อสุขภาพ เราและวงการของคนที่รับรู้ความจริงเรื่องนี้
(ซึ่งมีทั้งแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์
ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ผู้ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพระดับอาวุโส
ผู้บริหารโรคระบาดระดับโลก และบุคคลน่าเชื่อถืออื่นๆอีกมากมายทั่วโลกที่ยินดีให้ชื่อและตำแหน่งของตนเองยืนยันเช่นนั้น
เพียงแต่ตอนที่กระแสความกลัวมันถูกปั่นให้เกิดขึ้น
พวกเขาเป็นคนจำนวนน้อยกว่าและถูกอิทธิพลตัดออกจากสื่อกระแสหลัก) ดีใจมากที่ประเทศไทยทุกวันนี้มีคุณหมอสามารถออกมาพูดในสื่อกระแสหลักแล้วว่าวัคซีนเหล่านี้อันตรายเพียงใด
ช่วงที่กระแสความกลัวโรคนี้ถูกปั่นให้เกิดขึ้น
เราเป็นคนส่วนน้อยมากที่ไม่ฉีดเลยสักเข็มและไม่เสียใจเลยที่ตัดสินใจเช่นนั้น เรายืนกรานที่จะอยู่ตรงจุดนั้นจริงๆ
เพราะหลักฐานที่มีอยู่มากพอที่จะทำ presentation
ได้เลยด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับพวกงานวิจัยเทียมๆที่สร้างขึ้นเพราะอิทธิพลเงินของคนบางกลุ่ม
วัคซีนเหล่านี้มีผู้อยู่เบื้องหลัง
และสังเกตว่าทุกคนที่ฉีดต้องเซ็นชื่อยืนยันว่าจะไม่เอาผิดกับผู้ผลิตวัคซีนหากผลร้ายเกิดขึ้นกับร่างกายของผู้ฉีด
โลกยุค post-modernism
มีอิสระเสรี มีความหลากหลาย และการยอมรับความแตกต่างของผู้คน ซึ่งสิ่งเหล่านี้แน่นนอนว่ามีข้อดีเยอะมาก
สร้างความก้าวหน้าและความสุขให้โลกได้จริง
แต่....ถ้าถึงกับสุดโต่งว่าไม่มีสิ่งไหนถูกสิ่งไหนสิ่งผิดเลย
เราก็ไม่เอาด้วยนะ
No comments:
Post a Comment